ทุเรียนเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดจีน โดยจีนถือเป็นประเทศที่มีความต้องการบริโภคทุเรียนมากที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนถึง 19% ของการบริโภคทุเรียนทั่วโลก ความนิยมนี้ได้ขับเคลื่อนให้ตลาดทุเรียนในจีนมีมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านบาทต่อปี โดยทุเรียนสดที่นำเข้าจากไทยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดถึง 65% ในปี 2566 แม้ว่าจะต้องเผชิญการแข่งขันจากประเทศอื่น เช่น เวียดนามและฟิลิปปินส์
ข้อมูลการส่งออกทุเรียนจากไทยไปจีนระหว่างปี 2019-2023
Year | Exports (tons) |
2019 | 604,500 |
2020 | 621,000 |
2021 | 809,000 |
2022 | 784,000 |
2023 | 929,000 |
กราฟแท่งแสดงให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของการส่งออกทุเรียนไทยอย่างต่อเนื่อง(เฉลี่ยเติบโตปีละ 8.97%) มีเพียงปี 2022 ที่หดตัวเล็กน้อยจากปัญหาด้านโลจิสติกส์,เศรษฐกิจภายในประเทศจีน และคู่แข่งอย่างเวียดนามที่เข้ามาตีตลาด
ปี 2023 ที่การส่งออกทุเรียนไทยไปยังจีนสูงถึง 929,000 ตัน การเติบโตนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของทุเรียนไทยในตลาดจีน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของเกษตรกรไทยในการปรับตัวและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในจีน
นอกจากการบริโภคทุเรียนสดแล้ว ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน เช่น ขนมเค้ก ไอศกรีม และเครื่องดื่ม ก็ได้รับความนิยมในจีน การเพิ่มมูลค่าผ่านการแปรรูปช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย และขยายตลาดออกไปได้อย่างต่อเนื่อง
ข้อได้เปรียบของทุเรียนไทย
1. ชื่อเสียงและคุณภาพ
พันธุ์ทุเรียน: ทุเรียนไทย โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทอง ได้รับการยอมรับในด้านรสชาติและคุณภาพที่คงเส้นคงวา ผู้บริโภคจีนมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของทุเรียนไทยมากกว่าของเวียดนามซึ่งยังใหม่ในตลาด
มาตรฐานการผลิต: ไทยมีระบบควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ตั้งแต่การปลูกจนถึงกระบวนการส่งออก ทำให้สินค้ามีมาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค
2. ประสบการณ์และเครือข่ายการส่งออก
ประวัติการส่งออก: ไทยมีประสบการณ์ส่งออกทุเรียนมายังจีนยาวนานกว่าสามทศวรรษ สร้างเครือข่ายทางการค้าที่แข็งแกร่งในจีน ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าส่งหรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ข้อตกลงทางการค้า: ไทยมีความร่วมมือทางการค้ากับจีนที่แน่นแฟ้น เช่น การใช้สิทธิพิเศษทางภาษีในกรอบความร่วมมืออาเซียน-จีน (ACFTA)
3. ศักยภาพในการผลิต
พื้นที่เพาะปลูก: ไทยมีพื้นที่ปลูกทุเรียนที่กว้างขวางกว่า และสามารถผลิตได้ในปริมาณที่มากพอรองรับความต้องการของตลาดจีนตลอดทั้งปี ในขณะที่เวียดนามมีข้อจำกัดด้านพื้นที่เพาะปลูกและการผลิตยังไม่มากพอ
4. การแปรรูปและนวัตกรรม
ผลิตภัณฑ์ทุเรียนแปรรูป: ไทยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน เช่น ขนมและไอศกรีม ที่ได้รับความนิยมในจีน ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและลดความเสี่ยงในกรณีที่ความต้องการทุเรียนสดลดลง
5. ชื่อเสียงในระดับสากล
ทุเรียนไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะ "ราชาผลไม้" ของเอเชีย ซึ่งสร้างความได้เปรียบด้านการตลาดเมื่อเทียบกับทุเรียนเวียดนามที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นพัฒนาตลาด
แม้ว่าทุเรียนไทยยังคงครองใจผู้บริโภคชาวจีนด้วยคุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แต่การแข่งขันจากคู่แข่งอย่างเวียดนามซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า และความพยายามของจีนในการปลูกทุเรียนในประเทศ อาจสร้างความท้าทายให้กับตลาดทุเรียนไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การพัฒนากระบวนการผลิตและการรักษามาตรฐานคุณภาพ จะช่วยให้ทุเรียนไทยยังคงเป็นที่นิยมในตลาดจีนต่อไป
แนวทางป้องกันการสูญเสียความได้เปรียบให้แก่เวียดนาม
1. พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของทุเรียน
เพิ่มความสม่ำเสมอในคุณภาพ: เกษตรกรควรรักษามาตรฐานการผลิต เช่น การเลือกพันธุ์ทุเรียนที่เหมาะสม การควบคุมการใช้สารเคมี และการจัดการสวนอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคในจีนที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ
การรับรองมาตรฐาน: เช่น การได้รับการรับรอง GAP (Good Agricultural Practices) และการตรวจสอบย้อนกลับของสินค้า เพื่อสร้างความโปร่งใสและไว้วางใจในตลาด
2. ลดต้นทุนการผลิต
ใช้นวัตกรรมทางการเกษตร: นำเทคโนโลยี เช่น IoT (Internet of Things) และระบบเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) มาใช้เพื่อลดการใช้ทรัพยากร เช่น น้ำ ปุ๋ย และแรงงาน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน
การรวมกลุ่มเกษตรกร: การรวมตัวกันในรูปแบบสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดซื้อปัจจัยการผลิตและการขนส่ง ลดต้นทุนได้ในระยะยาว
3. สร้างความแตกต่าง (Branding)
ส่งเสริมเอกลักษณ์เฉพาะตัว: ทุเรียนไทย เช่น หมอนทอง มีชื่อเสียงในเรื่องรสชาติหวานมัน เกษตรกรควรเน้นการทำตลาดโดยชูจุดเด่นนี้เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น ทุเรียนจากเวียดนามที่มีราคาถูกกว่าแต่ยังไม่ได้รับการยอมรับในคุณภาพเท่าเทียมกัน
การเล่าเรื่อง (Storytelling): เพิ่มคุณค่าของทุเรียนผ่านการเล่าเรื่อง เช่น การปลูกแบบดั้งเดิม ความยั่งยืน หรือการเป็นสินค้าพรีเมียมจากพื้นที่ปลูกที่เฉพาะเจาะจง
4. ขยายตลาดและสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับจีน
ความร่วมมือทางการค้า: ทำงานร่วมกับผู้นำเข้าจีนเพื่อเข้าใจความต้องการของตลาด เช่น รสชาติที่คนจีนชื่นชอบ หรือบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม
ใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ซ: เกษตรกรควรร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ในจีน เช่น JD.com หรือ Taobao เพื่อเพิ่มช่องทางการขายและเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง
5. พัฒนาทุเรียนแปรรูป
เพิ่มมูลค่าผลผลิต: แปรรูปทุเรียนให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ไอศกรีม ขนมอบแห้ง หรือเครื่องดื่ม เพื่อตอบสนองตลาดที่กว้างขึ้นและลดความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดทุเรียนสด
6. สนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน
การวิจัยและพัฒนา: ภาครัฐควรลงทุนในโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ใหม่หรือเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมความรู้: จัดอบรมให้เกษตรกรเข้าใจวิธีการผลิต การตลาด และมาตรฐานการส่งออกที่เหมาะสม
ไทยยังคงรักษาฐานตลาดทุเรียนในจีนได้อย่างแข็งแกร่ง และมีกระแสความนิยมที่ยังคงเติบโต การส่งออกทุเรียนจึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในอนาคต โดยคาดว่าการส่งออกทุเรียนจะยังคงเติบโตในปีถัดไป การสนับสนุนจากรัฐบาลและการพัฒนาในด้านการขนส่ง โลจิสติกส์ และการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ไทยสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดทุเรียนของจีน และเปิดโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ทั่วโลกได้มากยิ่งขึ้น
Comments